การวิเคราะห์และการเปรียบเทียบภาษา ( Contrastive Analysis หรือเขียนย่อว่า CA ) เป็นสาขาหนึ่งของภาษาศาสตร์ประยุกต์และเป็นพื้นฐานของวิชาภาษาศาสตร์ทั่วไป ซึ่งเป็นการหาความแตกต่างระหว่างสองภาษาหรือมากกว่านั้น แต่ส่วนมากเป็นการวิเคราะห์และเปรียบเทียบระหว่างสองภาษามากกว่า โดยนักภาษาศาสตร์โครงสร้างเป็นผู้นำกลวิธีเปรียบเทียบภาษานี้มาเป็นเครื่องช่วยผู้สอนภาษาในด้านการชี้ให้เห็นข้อผิดพลาดในการเรียนภาษา การวิเคราะห์เปรียบเทียบสามารถทำได้ตั้งแต่เรื่องระบบเสียง ( Phoneme ) หน่วยคำ ( Morpheme) ประโยค ( Sentence ) คำศัพท์ ( Vocabulary ) วัฒนธรรมทางด้านภาษา ( Culture ) รวมทั้งความคิด ( Concept ) ตลอดจนสิ่งที่กำหนดความคิด ( Condition ) ระหว่างภาษาที่เปรียบเทียบนั้นเพื่อนำลักษณะแตกต่างที่ได้จากการวิเคราะห์และเปรียบเทียบมาปรับปรุงและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนการสอนภาษาต่างประเทศ โดยก่อนจะนำทฤษฎีภาษาศาสตร์แบบใดมาประกอบการวิเคราะห์ ผู้วิเคราะห์จะต้องพิจารณาเสียก่อนว่ามีรากฐานสากลของภาษาใด ( Underlysing Linguistic Universal ) ในรูปใดบ้างที่รวมกันอยู่ซึ่งจะช่วยให้ผู้ที่กำลังศึกษาภาษาต่างประเทศนั้น ๆ รู้จักวิธีการแทนที่ภาษา ( Transfer ) ได้ถูกต้องและช่วยลดการแทรกแซง ( Intreferance ) ของภาษาที่ 1 เข้าสู่ภาษาที่ 2 ซึ่งมักพบในการเรียนเรื่องเสียง หรือปัญหาที่จะเกิดขึ้นตามลักษณะซับซ้อนภายในระบบของภาษาเอง ( Intralingual ) หรือเกิดจากกระบวนการพัฒนา ( Development ) ของผู้เรียนเองซึ่งปัญหาส่วนนี้มักเกิดในการเรียนเรื่องระบบไวยากรณ์และศัพท์เท่านั้น
การวิเคราะห์และเปรียบเทียบภาษา ( Procedures For CA ) ซึ่งเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่ใช้กันอยู่ในขณะนี้ คือ วิธีการของ Randal L. Whitman ( 1970) ซึ่งมีอยู่ 4 ขั้นตอน คือ
- Description การเขียนคำบรรยายลักษณะของทั้ง 2 ภาษา
- Slection การเลือกรูปแบบเพื่อจะนำมาเปรียบเทียบกัน
- Contrast การเปรียบเทียบรูปแบบที่ได้เลือกไว้
- Predict การทำนายข้อยุ่งยากหรือปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในการเรียนภาษาจากพื้นฐานของการเปรียบเทียบนั้น ๆ
คำว่า “ ภาษา ” นักภาษาศาสตร์ให้ความหมายไว้ว่า เสียงที่มีระเบียบที่เราใช้ในการสื่อสารกัน ภาษาพูดหมายถึง เสียง ภาษาเขียน หมายถึง ตัวอักษร จุดมุ่งหมายของการวิเคราะห์ภาษาก็เพื่อให้เข้าใจลักษณะที่แท้จริงของภาษา ความเข้าใจก็ย่อมทำให้เกิดประโยชน์ในตัวอยู่แล้ว ความเข้าใจในลักษณะที่แท้จริงของภาษาจะช่วยให้เราเขียนตำราได้และนำไปใช้ในการพูด ฟังหรืออ่านได้เป็นอย่างดี และสำหรับการสอนภาษาต่างประเทศ ถ้าจะสอนให้ได้ดี ผู้สอนจะต้องรู้จักลักษณะของภาษาอย่างน้อย 2 ภาษา และลักษณะที่เป็นข้อแตกต่างมักเป็นปัญหาในการเรียนการสอนเสมอ
การศึกษาวิเคราะห์ภาษาที่สมบูรณ์นั้น จะต้องศึกษาเกี่ยวกับเสียง ( Phonology ) คำ ( Morphology ) ประโยค ( Syntex ) และความหมาย ( Semantics ) ทุกเรื่องต่างก็มีความสัมพันธ์กันเพราะเสียงประกอบกันเป็นคำเมื่อนำคำมาเรียบเรียงให้ถูกต้องตามลักษณะไวยกรณ์ก็จะเป็นประโยค ทั้งคำและประโยคจะมีความหมายเข้ามาเกี่ยวข้อง ฉะนั้นความหมายจะเริ่มเข้ามาเกี่ยวข้อง เมื่อหน่วยเสียง ( Phoneme ) ต่าง ๆ มาประกอบกันเป็นหน่วยคำ ( Morpheme ) หน่วยคำในภาษาต่าง ๆ ยังมีลักษณะแตกต่างกันไปตามลักษณะของภาษานั้น ๆ คำที่ใช้ในภาษาอาจจะมีพยางค์เดียวหรือหลายพยางค์แต่ต้องมีความหมาย คำที่มีหลายพยางค์ซึ่งเป็นพยางค์ที่มีความหมาย และในแต่ละพยางค์อาจมีความหมายด้วย คำในลักษณะเช่นนี้อาจเรียกว่า “คำประสม” ถ้าแต่ละพยางค์ไม่มีความหมาย พยางค์เหล่านั้นก็ไม่มีลักษณะเป็นหน่วยคำ
ลักษณะของหน่วยคำในแต่ละภาษาจะขึ้นอยู่กับลักษณะของภาษาว่าเป็นภาษาตระกูลใด หน่วยคำของภาษาในแต่ละตระกูลจะแตกต่างกันออกไป ดังต่อไปนี้
1. ภาษาคำโดด (Aralytic หรือ Isolating Language) คำในภาษาตระกูลนี้จะเป็นอิสระในตัวเอง จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูปเมื่ออยู่ในประโยค ไม่ว่าในตำแหน่งใดก็ตาม ลักษณะของหน่วยคำจะเห็นได้อย่างชัดเจน เช่น ภาษาไทย และภาษาจีน สำหรับหน่วยคำในภาษาไทยแบ่งได้หลายประเภทตามลักษณะที่เราจะศึกษาพิจารณา
1) ประเภทหน่วยคำอิสระ ( Free morpheme ) และหน่วยคำไม่อิสระ ( Bound morpheme ) หน่วยคำอิสระ คือ หน่วยคำที่ปรากฏหน่วยคำที่ปรากฏตามลำพังได้และมีความหมายชัดเจนโดยไม่ต้องผูกพันกับคำอื่น อาจมีพยางค์เดียวหรือหลายพยางค์ ส่วนมากหน่วยคำในภาษาไทยมักเป็นหน่วยคำประเภทนี้ เช่น พ่อ แม่ ลูก
ส่วนหน่วยคำไม่อิสระหรือคำผูกพัน คือ หน่วยคำที่ไม่สามารถเกิดตามลำพังได้ ต้องรวมอยู่กับหน่วยคำอื่นเสมอแต่ตัวเองก็มีความหมายและเมื่อรวมกับคำอื่นแล้ว ความหมายใหม่ก็ยังคงเกี่ยวข้องกับความหมายเดิมอยู่ เช่น นัก - ใช้ในคำว่า นักเขียน นักประพันธ์ ชาว - ใช้กับคำว่า ชาวนา ชาวสวน หรือ การ - , ความ - , ผู้ - , หมอ -, - ศาสตร์ , - กระ คำเหล่านี้มีความหมายในตัวเอง แต่ใช้ตามลำพังไม่ได้ต้องเกิดกับหน่วยคำอื่น
2) แบ่งเป็นหน่วยด้านความหมาย ( Lexical Morpheme ) และหน่วยคำด้านไวยากรณ์
(Grammatical Morpheme)
หน่วยคำด้านความหมายเป็นคำที่มีความหมายชัดเจนในตัวเอง เช่น หู ตา จมูก ปาก พ่อ แม่
หน่วยคำด้านไวยากรณ์ เป็นหน่วยคำที่ไม่มีความหมายในตัวเองเด่นชัด นอกจากจะนำไปใช้รวมกับคำอื่นๆโดยเฉพาะประโยค จะช่วยให้ความหมายเด่นชัดด้านไวยากรณ์ ลักษณะของหน่วยคำประเภทนี้อาจไม่ค่อยเด่นชัดในภาษาที่มีวัตติปัจจัย เช่น ภาษาอังกฤษ หน่วย – S ใน Boys จะแสดงความเป็นพหูพจน์ หรือหน่วยคำ -ed ในประโยค worked จะแสดงความเป็นอดีตกาล ในภาษาไทยเราลักษณะของหน่วยคำเช่นนี้อาจเป็นคำว่า “แล้ว” ฉันกินข้าวแล้ว ที่แสดงความเป็นอดีตกาล หรือคำว่า หลาย ในวลี นักเรียนหลายคน ที่แสดงความเป็นพหูพจน์ เป็นต้น
3) แบ่งเป็นหน่วยคำที่เป็นรากคำ ( Root ) และหน่วยคำเชื่อม ( Affix )
หน่วยคำนี้เป็นรากคำ (Root) เป็นหน่วยคำที่มีความหมายซึ่งอาจจะรวมอยู่กับหน่วยคำอื่นซึ่งอาจจะเป็นรากคำด้วยกันหรือเป็นหน่วยคำเติมที่เป็นรากคำด้วยกัน ได้แก่ คำประสมของไทย เช่น โรงเรียน น้ำปลา จิตใจ เป็นต้น ส่วนที่เป็นคำเดียวโดด ๆ มีลักษณะเป็นรากคำเช่นกัน เช่น เช้าเย็น เด็ก ไก่ เป็นต้น
หน่วยคำที่เป็นคำเติม (Affix) เป็นหน่วยคำที่มีลักษณะคล้ายหน่วยคำไม่อิสระ (Bound Morpheme) มีความหมายในตัวเองแต่ต้องรวมอยู่กับหน่วยคำอื่น เช่น นัก - , หมอ –
ลักษณะการวิเคราะห์ด้วยหน่วยคำประเภทที่เป็นรากคำและคำเติมนี้ไม่เหมาะที่จะนำมาวิเคราะห์ภาษาไทย เพราะลักษณะของภาษาไทยไม่เกี่ยวข้องกับรากคำและคำเติม นอกจากคำที่ยืมมาจากคำบาลีสันสกฤต แต่ที่จะนำมากล่าวก็เพื่อจะแสดงให้เห็นถึงการศึกษาหน่วยคำแบบหนึ่งซึ่งอาจจะอนุโลมใช้ศึกษาภาษาไทยได้ในลักษณะดังกล่าว
2. ภาษามีวัตติปัจจัย (Inflectional Language) คำในภาษาตระกูลนี้จะสังเกตุได้ยากกว่าภาษาคำโดดเพราะลักษณะของคำจะต้องประกอบด้วย รากคำ ( Root) กับคำเติม ( Aiffix) คำเติมนี้อาจทำให้ความหมายเปลี่ยนแปลง หรืออาจเปลี่ยนเพศ พจน์ บุรุษกาลและอื่น ๆ เช่น ภาษากรีก ละติน บาลีสันสกฤต
3. ภาษาคำติดต่อ (Agglutinative Language) คำในภาษาตระกูลนี้มีลักษณะเหมือนกับภาษามีวิภัตติปัจจัย คือ จะต้องประกอบด้วย รากคำ ( Root) กับคำเติม ( Aiffix) เช่น ภาษาตุรกี ตากาลอค
( ฟิลิปปินส์ ) อินเดียนแดง
4. ภาษาคำควบหลายพยางค์ (Polysynthetic Language) ลักษณะของคำในตระกูลนี้
คล้ายคลึงกับภาษาติดต่อ ต่างกันที่ว่าภาษาติดต่อหนึ่งคำอาจมีหลายหน่วยคำ คือหน่วยคำที่เป็นรากคำ (Root) และหน่วยคำที่เป็นคำเติม (Affix) ซึ่งจะสังเกตหน่วยคำได้จากการเปรียบเทียบประโยคที่มีความหมายแตกต่างกันเล็กน้อย เช่น ภาษาชาวเอสกิโม เวราครูซ
พยางค์ในภาษาไทย
เมื่อกล่าวถึงลักษณะคำภาษาไทย สามารถกล่าวโดยสรุป ได้ดังนี้
- คำแต่ละคำเป็นพยางค์เดียวและไม่มีเสียงควบกล้ำ
- คำแต่ละคำถือเป็นคำสำเร็จรูป เพราะมีความหมายสมบูรณ์ใช้เข้าประโยคได้ทันที โดยไม่ต้องมีการตกแต่งหรือเปลี่ยนแปลงส่วนใดๆของคำ เพื่อบอกความสัมพันธ์ระหว่างคำในประโยค
- คำคำเดียวกันอาจมีหลายความหมาย ใช้ได้หลายหน้าที่โดยไม่ต้องเปลี่ยนแปลงรูปคำเลย จะรู้ความหมายและหน้าที่ได้ก็ด้วยดูตำแหน่งในประโยค
พยางค์ (Syllable) หมายถึง เสียงที่เราเปล่งออกครั้งหนึ่งๆ โดยพยางค์อาจมีความหมายหรือไม่มีก็ได้
หน่วยคำ ( Morpheme ) หมายถึง หน่วยที่เล็กที่สุดที่มีความหมาย
หน่วยเสียง ( Phoneme ) หมายถึง หน่วยที่เล็กที่สุดในหน่วยคำ ซึ่งไม่สามารถแบ่งย่อยได้อีกแล้ว
ตัวอย่างเช่น “น้ำปลา” คือ น้ำสำหรับปรุงรสอาหารให้เค็ม ทำจากปลาหรือสิ่งอื่น ๆ คำนี้เป็นคำประสมระหว่างหน่วยคำ คือ น้ำ และ ปลา ทั้งสองหน่วยคำต่างก็มีความหมาย มีลักษณะเป็นหน่วยคำได้โดยเอกเทศ คำว่า “น้ำปลา” นี้เป็นคำประเภทที่มี 2 พยางค์ คือ น้ำและปลา ต่างก็มีความหมายที่เกี่ยวพันกับความหมายของคำประสม น้ำปลาจึงเป็นคำที่มี 2 หน่วยคำ และ 2 พยางค์
“มะละกอ” หมายถึง ผลไม้ชนิดหนึ่ง คำนี้มี 3 พยางค์ คือ มะ ละ และกอ แม้บางพยางค์จะมีความหมายแต่ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับความหมายใหม่ มะละกอจึงเป็นคำที่มี 1 หน่วยคำ และ 3 พยางค์
ในภาษาไทย คำหนึ่งคำ อาจประกอบด้วยหน่วยคำ 1 หน่วยคำ หรือหลาย ๆ หน่วยคำก็ได้ เช่น
เดิน = 1 คำ 1 หน่วยคำ 1 พยางค์
นักเดิน = 1 คำ 2 หน่วยคำ 2 พยางค์
นาฬิกา = 1 คำ 1 หน่วยคำ 3 พยางค์
คำที่เป็นชื่อผักและผลไม้ต่าง ๆ มีปัญหาว่าจะถือเป็นหน่วยคำเดียวหรือหลายหน่วยคำ เช่น มะละกอ มะม่วง ฯลฯ ตามหลักภาษาศาสตร์ คำเหล่านี้ถือว่าเป็นคำอิสระและเป็น 1 หน่วยคำเพราะแยกออกมาไม่มีความหมาย เช่น “กะเฉด” ประกอบด้วย 2 พยางค์ คือ กะ และ เฉด ถือเป็นหนึ่งหน่วยคำ เพราะคำว่า กะ และ เฉด ไม่ได้แสดงหน้าที่ของไวยากรณ์และไม่เกี่ยวข้องกับความหมายใหม่แต่อย่างใด คำว่า มะละกอ หรือ มะม่วง ก็สามารถอธิบายได้ด้วยเหตุผลนี้
พยางค์ในภาษาเวียดนาม
พยางค์ในภาษาเวียดนามมีจุดกำเนิดทางภาษาศาสตร์ที่ต่างจากภาษาไทย เราจะสังเกตข้อแตกต่างนี้ได้จากคำนิยามต่อไปนี้
พยางค์ (Âm tiết) หมายถึง หน่วยเสียงที่เล็กที่สุดที่เปล่งออกมาตามธรรมชาติ ในพยางค์หนึ่งๆอาจประกอบจากหนึ่งหน่วยเสียงหรือหลายหน่วยเสียง
หน่วยคำ (Hình vị) หมายถึง หน่วยทางความหมายที่เล็กที่สุด
หน่วยเสียง (Âm vị) หมายถึง หน่วยที่เล็กที่สุดทางภาษาศาสตร์ที่สามารถมีได้ โดยหน่วยเสียงนี้ไม่สามารถแยกให้เล็กลงได้กว่านี้แล้ว
ตัวอย่างประโยคเช่น Chúng ta (พวกเรา) là (เป็น) sinh viên (นักศึกษา) เมื่อพิจารณาตามหน่วยทางความหมายที่เล็กที่สุดจะได้ 5 หน่วยคำ และเมื่อพิจารณาตามการเปล่งเสียงออกมาจะได้ 5 พยางค์ จะเห็นได้ว่าจำนวนพยางค์และหน่วยคำในประโยคนี้มีจำนวนเท่ากัน ไม่ว่าจะพิจารณาตามหน่วยคำหรือพยางค์ต่างก็มีความหมาย จึงสามารถกล่าวได้ว่าพยางค์ในภาษาเวียดนามก็คือรูปแบบที่แสดงออกมาในรูปของหน่วยคำนั่นเอง พยางค์และหน่วยคำในภาษาเวียดนามจึงเป็นเรื่องที่คาบเกี่ยวกัน ส่วนในเรื่องของหน่วยเสียง พยางค์ในภาษาเวียดนามสามารถเกิดขึ้นได้จากหน่วยเสียงสระเพียงหน่วยเสียงเดียว เช่น คำว่า u, o หรือ y ซึ่งล้วนเป็นคำที่มีความหมายคือ แม่ ร่ม และมัน ตามลำดับ หน่วยเสียงจึงสามารถเป็นทั้งหน่วยคำและพยางค์ในภาษาเวียดนามได้
สรุปได้ว่า ในภาษาเวียดนามไม่มีหน่วยเสียงอย่าง /a/ หรือ /u/ เพราะหน่วยเสียงเหล่านี้ได้ทำหน้าที่เป็นทั้งหน่วยคำและพยางค์ ดังนั้น ในภาษาเวียดนามเรื่องของพยางค์ หน่วยเสียง และหน่วยคำจึงเป็นเรื่องที่คาบเกี่ยวกันทั้งในด้านจำนวนและบทบาทของตัวมันเองอย่างแยกจากกันมิได้
โครงสร้างพยางค์ในภาษาไทย พยางค์ในภาษาไทยมี 3 ลักษณะตามการประสมอักษร ดังนี้
- การประสมแบบ 3 ส่วน ได้แก่ พยางค์ในแม่ ก.กาทั้งหมด
- พยัญชนะต้น + สระ + วรรณยุกต์ เช่น กา ม้า
- การประสมแบบ 4 ส่วน มี 2 แบบ คือ
- ประสมแบบ 4 ส่วนปกติ ได้แก่ พยางค์ที่มีตัวสะกดในมาตราทั้ง 8 คือ แม่กก กด กบ กง กน กม เกย เกอว เช่น กิน มัน รัก
- ประสมแบบ 4 ส่วนพิเศษ ได้แก่ พยางค์ที่ไม่มีตัวสะกดแต่มีการันต์เพิ่มเข้ามา เช่น สีห์ เล่ห์
- การประสมแบบ 5 ส่วน คือ พยางค์ที่มีตัวสะกดและตัวการันต์ เช่น ศูนย์ พันธ์
สามารถสรุปโครงสร้างของพยางค์ในภาษาไทยได้ 4 แบบ ดังนี้
- พยัญชนะต้น + สระ + วรรณยุกต์
- พยัญชนะต้น + สระ + วรรณยุกต์ + ตัวสะกด
- พยัญชนะต้น + สระ + วรรณยุกต์ + การันต์
- พยัญชนะต้น + สระ + วรรณยุกต์ + ตัวสะกด + การันต์
ถนนหนทางสู่สนามบินสุวรรณภูมิ
ตอบลบลงรายละเอียดได้ลึกซึ้งดีมากครับ แม้ไม่ค่ายมีผู้นสนใจผ่านมาอ่านมากนัก สำหรับผมที่บังเอิญผ่านมาเจอแล้วของชื่นชมผู้เขียนที่ใส่เนื้อหารายละเอียดดีขนาดนี้ แต่รู้สึกเหมือนภาษาอังกฤษในวงเล็บอาจจะมีสะกดผิดบ้างรึปล่าวไม่รู้นะครับ
ตอบลบ